ในอดีตก่อนปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ไทยเรายังไม่มีคำว่า "วรรณคดี" ใช้
เราเรียกหนังสือวรรณคดีว่า "หนังสือ"
หรือเรียกโดยใช้ชื่อผู้แต่งกับชื่อลักษณะคำประพันธ์และประเภทของเนื้อหา (เช่น
นิราศนรินทร์คำโคลงหรือนิราศ
พระยาตรัง เป็นต้น) หรือเรียกโดยใช้ชื่อลักษณะคำประพันธ์และเหตุการณ์หรือโอกาสที่ทำให้เกิดเรื่องนั้นๆขึ้น (เช่น เพลงยางหรือกลอนนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง เป็นต้น)
พระยาตรัง เป็นต้น) หรือเรียกโดยใช้ชื่อลักษณะคำประพันธ์และเหตุการณ์หรือโอกาสที่ทำให้เกิดเรื่องนั้นๆขึ้น (เช่น เพลงยางหรือกลอนนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง เป็นต้น)
วรรณคดี รู้จักกันอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่ทรงตั้ง โบราณคดีสโมสรขึ้น
วัตถุประสงค์ของสโมสรนี้ก็เพื่อส่งเสริมการประพันธ์ การศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี
งานที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับวรรณคดีคือ การพิมพ์เผยแพร่วรรณคดีโบราณ เช่น
ลิลิตยวนพ่าย ทวาทศมาส และนิราศพระยาตรัง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการตรวจคัดหนังสือที่แต่งดี
เพื่อรับพระบรมราชานุญาตประทับพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้ว หนังสือใดที่โบราณคดีสโมสรนี้ประทับพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้วก็ได้ชื่อว่าเป็น
"วรรณคดี" ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็น "หนังสือดี"
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๗ คำว่า
"วรรณคดี" จึงได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งวรรณคดีสโมสร เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือ เช่นเดียวกับกิจการของ
โบราณคดีสโมสร และงานที่สำคัญของวรรณคดีสโมสรนี้ก็คือการพิจารณายกย่องหนังสือสำคัญของชาติ
ว่าเรื่องใดเป็นยอดทางไหน
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งวรรณคดีสโมสร เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือ เช่นเดียวกับกิจการของ
โบราณคดีสโมสร และงานที่สำคัญของวรรณคดีสโมสรนี้ก็คือการพิจารณายกย่องหนังสือสำคัญของชาติ
ว่าเรื่องใดเป็นยอดทางไหน
สรุปได้ว่า วรรณคดี ก็คือ
หนังสือหรืองานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีความงามด้านภาษา
การใช้คำ มีคุณค่าเข้าขั้นวรรณศิลป์ และมีเนื้อหาที่ดีสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านให้เกิดความเพลิดเพลิน
ความสำนึกคิด และอารมณ์ต่าง ๆ ตามผู้เขียน
การใช้คำ มีคุณค่าเข้าขั้นวรรณศิลป์ และมีเนื้อหาที่ดีสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านให้เกิดความเพลิดเพลิน
ความสำนึกคิด และอารมณ์ต่าง ๆ ตามผู้เขียน
ลักษณะที่สำคัญของวรรณคดี
สรุปได้ดังนี้
๑. มีความเป็นศิลป (Artistic) ในคุณลักษณะข้อนี้วรรณคดีต้องมีความงดงาม กล่าวคือ
ต้องสะท้อนชีวิตในแง่ความเป็นจริงที่ถูกต้องงดงาม
๒. มีลักษณะของการคาดคะเน (Suggestive)
วรรณคดีจะไม่อยู่ในลักษณะเปิดเผยแบบตายตัว
หากแต่จะเข้าใจได้โดยการคาดคะเน
การตีความหมายทางวรรณคดีจะขึ้นอยู่กับการคาดคะเนของแต่ละคน
การคาดคะเนอาจจะแตกต่างกันไปตามความซาบซึ้ง (Appreciation) ของคนอ่าน
การคาดคะเนอาจจะแตกต่างกันไปตามความซาบซึ้ง (Appreciation) ของคนอ่าน
๓. มีลักษณะของความคงทน (Permanent)
เป็นที่นิยมและอยู่ในความทรงจำของคนอ่านในระยะเวลาอันยาวนาน
ไม่ใช่เป็นที่นิยมกันในวันนี้วันเดียว
ความหมายของวรรณกรรม
คำว่า "วรรณกรรม"
มีความหมายตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า "Literature Works" หรือ "General Literature" และการใช้คำว่า
"วรรณกรรม" มีปรากฏครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม
พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยให้คำนิยามคำว่า "วรรณกรรมและศิลปกรรม" รวมกันไว้ดังนี้
" วรรณกรรมและศิลปกรรม
หมายความรวมว่าการทำขึ้นทุกชนิดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ แผนกศิลปะ
จะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปร่างอย่างใดก็ตาม เช่น สมุด สมุดเล็ก และหนังสืออื่น ๆ
เช่น ปาฐกถา กถาอื่น ๆ เทศนา
คำว่า "วรรณกรรม"
ก็ได้นิยมใช้กันแพร่หลายมาตามลำดับ และสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ได้จัดตั้งสำนักงานวัฒนธรรมทางวรรณกรรมรวมอยู่ในกระทรวงวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ มีหน้าที่เผยแพร่วรรณกรรมและส่งเสริมศิลปะการแต่งหนังสือ เพื่อรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างเป็นทางราชการสืบต่อจากวรรณคดีสโมสร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
ได้จัดตั้งสำนักงานวัฒนธรรมทางวรรณกรรมรวมอยู่ในกระทรวงวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ มีหน้าที่เผยแพร่วรรณกรรมและส่งเสริมศิลปะการแต่งหนังสือ เพื่อรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างเป็นทางราชการสืบต่อจากวรรณคดีสโมสร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
อย่างไรก็ตาม ความหมายของวรรณกรรมที่มีผู้ให้ไว้หลากหลายนี้
ตามความหมายของหนังสือความรู้ทั่วไปทางวรรณกรรมนั้นจะมีความหมายกว้าง
โดยกินความครอบคลุมงานหนังสือทุกชนิดหรือสิ่งพิมพ์ทุกประเภท ทั้งหนังสือทั่วไป
หนังสือตำรา หนังสืออ้างอิง วารสาร นิตยสาร และเอกสาร ต่าง ๆ เป็นต้น
ประเภทของวรรณกรรม
เนื่องจาก วรรณคดี เป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรม
ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้จะมีความแตกต่างบ้างก็ตาม
แต่เมื่อกล่าวถึงประเภทของวรรณกรรม ก็จะกล่าวถึง ประเภทของวรรณคดีด้วยเช่นกัน
ซึ่งได้มีผู้เขียนได้แบ่งประเภท ตามเกณฑ์และลักษณะต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
๑. แบ่งตามลักษณะการประพันธ์ มี ๒ ประเภท คือ
๑.๑ วรรณกรรมร้อยแก้ว คือ
วรรณกรรมที่ไม่กำหนดบังคับคำหรือฉันทลักษณ์ เป็นความ
เรียงทั่ว ไป
การเขียนในลักษณะนี้ยังแบ่งย่อยออกเป็น
๑.๑.๑ บันเทิงคดี (Fiction)คือ วรรณกรรมที่มุ่งให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านเป็นประการสำคัญ
และให้ข้อคิด คตินิยม หรือ สอนใจ แก่ผู้อ่านเป็นวัตถุประสงค์รอง ดังที่ ม.ล.
บุญเหลือ เทพยสุวรรณ กล่าวว่า บันเทิงคดี
เป็นวรรณกรรมที่ผู้ประพันธ์มีจุดประสงค์ที่ให้ความเพลิดเพลิน
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าบันเทิงคดีเป็นวรรณกรรมที่ไร้สาระ
บันเทิงคดีอาจมีสาระในด้านปรัชญา ด้านความเข้าใจการเมือง
หรือประวัติศาสตร์ดีกว่าหนังสือสารคดีบางเรื่องก็ได้ วรรณกรรม
ประเภทนี้ผู้ประพันธ์มุ่งหมายให้ความบันเทิง ต้องกระทบอารมณ์ผู้อ่าน
มิใช่สำหรับให้ผู้อ่านได้ความรู้หรือความคิดเห็น ได้แก่ นวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร ๑.๑.๒ สารคดี (Non-Fiction)คือ วรรณกรรมที่มุ่งให้ความรู้ หรือ ความคิด เป็นคุณประโยชน์สำคัญ
อาจจะเขียนเชิงอธิบายเชิงวิจารณ์ เชิงพรรณนาสั่งสอน โดยอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
อย่างมีระบบมีศิลปะในการถ่ายทอดความรู้
เพื่อมุ่งตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นให้แก่ผู้อ่าน
และก่อให้เกิดคุณค่าทางปัญญาแก่ผู้อ่าน
ได้แก่ ความเรียง บทความ สารคดีท่องเที่ยว สารคดีชีวประวัติ อนุทิน จดหมายเหตุ
๑.๒ วรรณกรรม ร้อยกรอง คือ
วรรณกรรมที่การเขียนมีการบังคับรูปแบบด้วยฉันทลักษณ์ต่างๆ เช่น บังคับคณะ บังคับคำ
และแบบแผนการส่งสัมผัสต่าง ๆ บางครั้งเรียกงานเขียนประเภทนี้ว่า กวีนิพนธ์ หรือ
คำประพันธ์ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลิลิต เป็นต้น
๒. แบ่งตามลักษณะเนื้อเรื่อง มี ๒
ประเภท คือ
๒.๑ วรรณกรรมบริสุทธิ์ (Pure
Literature) หมายถึง วรรณกรรมที่แต่งขึ้นจากอารมณ์สะเทือนใจต่าง ๆ
ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้วรรณกรรมนั้น ทรงคุณค่าในทางใดเป็นพิเศษ
แต่วรรณกรรมนั้นอาจจะล้ำค่า ในสายตาของนักอ่านรุ่นหลังๆ ก็เป็นได้
แต่มิได้เป็นเจตจำนงแท้จริงของผู้แต่ง
ผู้แต่งเพียงแต่จะแต่งขึ้นตามความปรารถนาในอารมณ์ของตนเองเป็นสำคัญ
๒.๒ วรรณกรรมประยุกต์ (Applied Literature) หมายถึงวรรณกรรมที่แต่งขึ้นโดยมีเจตจำนงที่สนองสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจเกิดความบันดาลใจที่จะสืบทอดเรื่องราวความชื่นชมในวีรกรรมของผู้ใดผู้หนึ่งนั่นหมายถึงว่า
มีเจตนาจะเขียนเรื่องราวขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่ง
หรือมีจุดมุ่งหมายในการเขียนชัดเจน มิใช่เพื่อสนองอารมณ์อย่างเดียว เช่น
วรรณกรรมประวัติศาสตร์ วรรณกรรมการละคร และอาจหมายรวมถึงพงศาวดารต่าง ๆ ด้วย
๓. แบ่งตามลักษณะการถ่ายทอด มี ๒
ประเภท คือ
๓.๑ วรรณกรรมมุขปาฐะ หมายถึง
วรรณกรรมที่ถ่ายทอดโดยการบอก การเล่า และการขับร้อง ไม่ว่าจะเป็นในโอกาสหรือในวาระใด
เช่น ในการนอน การเต้น การรำ หรือพิธีกรรมต่าง ๆ
๓.๒ วรรณกรรมลายลักษณ์ หมายถึง
วรรณกรรมที่ถ่ายทอดโดยการเขียน การจาร และการจารึก
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำลงบนวัสดุใด ๆ เช่น กระดาษ เยื่อไม้ ใบไม้ แผ่นดินเผา หรือ
ศิลา
๔. แบ่งตามลักษณะของเนื้อหา(ซึ่งจะเน้นไปทางด้านวรรณคดีไทยเป็นส่วนใหญ่)มี
๗ ประเภท คือ
๔.๑ วรรณคดีนิราศ
วรรณคดีประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะตัว เป็นการเขียนในทำนองบันทึกการเดินทาง
การพลัดพราก การคร่ำครวญเมื่อต้องไกลที่อยู่อาศัย คนรักหรือสิ่งรัก
การเขียนในเชิงนิราศนี้มีรูปแบบโดยเฉพาะ เป็นวรรณคดีที่กวีนิยมเขียนกันมาก
มีวรรณคดีมากมายหลายเรื่อง เช่น กำสรวลศรีปราชญ์ ทวาทศมาส นิราศของสุนทรภู่
นิราศของพระยาตรัง นิราศนรินทร์ เป็นต้น
๔.๒
วรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ
เป็นวรรณคดีในเชิงประวัติศาสตร์การบันทึกเหตุการณ์แผ่นดินในทำนองสรรเสริญพระเกียรติของพระมหากษัตริย์
วรรณคดี ประเภทนี้มีปรากฏอยู่ในวรรณคดีเป็นจำนวนมากมาย เช่น ลิลิตยวนพ่าย
ลิลิตตะเลงพ่าย เพลงยาวเฉลิมพระเกียติร และโคลงเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ
รวมทั้งวรรณคดีประเภทที่ต้องการบันทึกเรื่องราวสำคัญบางประการ เช่น
โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ เป็นต้น
๔.๓ วรรณคดีศาสนา
วรรณคดีประเภทนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม คือ
มีอิทธิพลมาจากความเชื่อทางศาสนา เช่น มหาชาติฉบับต่าง ๆ พระปฐมสมโพธิกถา
ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิฉบับต่าง ๆ รวมทั้งวรรณคดีจากชาดก
ทั้งนิบาตชาดกและปัญญาสชาดก นันโทปทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง เป็นต้น
๔.๔
วรรณคดีที่เกี่ยวกับพิธีการขนบธรรมเนียมประเพณี
เนื้อหาของวรรณคดีประเภทนี้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี หรือ พิธีการต่าง ๆ เช่น
ตำรานางนพมาศ พระราชพิธีสิบสองเดือน ฯลฯ
๔.๕ วรรณคดีสุภาษิต
วรรณคดีประเภทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำสอน ข้อเตือนใจ เช่น กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
สุภาษิตพระร่วง โคลงราชสวัสดิ์ อิศรญาณภาษิต เป็นต้น
๔.๖ วรรณคดีการละครหรือนาฏวรรณคดี
วรรณคดีประเภทนี้นำไปใช้แสดงละคร หรือการแสดงทางนาฏศิลป์ในลักษณะอื่น เช่น
เรื่องอิเหนา รามเกียรติ์ สังข์ทอง ไกรทอง เป็นต้น
๔.๗
วรรณคดีนิยาย
วรรณคดีประเภทนี้ถ้าเขียนเป็นการประพันธ์ประเภทกลอนจะเรียกว่ากลอนประโลมโลกย์
วรรณคดีนิยายนี้มีทั้งไม่เขียนเป็นกลอน เช่น ลิลิตพระลอและที่เขียนเป็นกลอน เช่น
พระอภัยมณี เสภาขุนช้าง - ขุนแผน เป็นต้น
พระอภัยมณี เสภาขุนช้าง - ขุนแผน เป็นต้น
ข้อมูลจาก